Skip to main content

Posts

Showing posts from 2010

Apache Ant

Apache Ant Apache Ant เป็น project opensource ของ Apache ที่จะช่วยให้ในการ build ในการ compile และทำให้งานของ programmer นั้นง่ายมากขึ้น ซึ่งใน project ในระดับ enterprise ของ java มักจะใช้ ant ช่วยในการ build ยัน deploy และใน IDE Java แทบทุกตัวของ Java ก็ใช้ Apache ant ในการ build, compile, หรือ pack เป็น archive file ซึ่งผมจะเกริ่นเครื่องของ ant คร่าวๆดังดังนี้ครับ การจะใช้ Apache Ant ได้ต้องติดตั้งดังนี้ครับ Apache Ant : load here Java RE(แนะนำติดเป็น SDK ไปเลย) 1.4 ขึ้นไป การติดตั้ง java นั้นขอข้ามไปเลยมาพูดเรื่องติดตั้ง apache ant กันเลย ก่อนอื่นนำ apache ant ที่เราโหลดมานำมา extract มาวางไว้ที่ไหนก็ได้แต่ถ้าจะให้สะดวกให้มาวางไว้ที่ drive C: จากนั้นก็ต้อง set environemnt variable ครับ ใน windows ลองตาม link นี้ไปดูครับว่าตั้งยังไงโดยที่สำคัญที่ต้อง set มีสองค่าครับ set ANT_HOME=C:apache-ant-1.7.0 set PATH=%PATH%;%ANT_HOME%bin;.;

Diary ประจำอะไรซักอย่าง 20/09/2010

ต่อจากตอนที่แล้ว วันนี้ลองเส้นทางวิ่งใหม่ๆดู รู้สึกวิ่งตามถนนมันไม่ work เท่าไร สูดควันไปวิ่งไปไม่น่ารื่นรมณ์เลย คราวนี้เลยกะว่าจะลองเปลี่ยนไปเป็นที่ที่คนชอบมาวิ่งกัน โดยที่ไม่ไกลจากบ้านมาก ตอนแรกได้ยินมาจากแม่ว่าในซอยเรามี "สน.ท่าพระ" อยู่รุ้สึกว่าตรงนั้นจะมีคนไปวิ่งเยอะนะ อีกที่นึงที่นั่งรถผ่านไปกลับระหว่างบ้านกับที่ทำงานประจำนั่นคือ "วงเวียนใหญ่" เห็นคนมาวิ่งทุกวัน ตอนกลางคืนสองสามทุ่มแล้วก้ยังมีคนมาวิ่งอยู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจมาที่ "วงเวียนใหญ่" ส่วน "สน.ท่าพระ" ไม่อยากไปเพราะรู้สึกตอนเช้าๆมันเปลี่ยวแล้วจะมีคนวิ่งจรึงหรือเปล่า ดังนั้นจึงเลือกวงเวียนใหญ่ ตอนแรกที่วางแผนไว้กะว่าจะนั่งรถเมล์หรือรถกระป๋องไป "วงเวียนใหญ่" แต่ตอนเช้ารอรถได้ห้านาทีรู้สึกว่าแม่งทำไมไม่มาซักทีวะ กลัวว่าจะเสียเวลาเลยวิ่งไปพลางถ้ารถมากะว่าค่อยโบกเอา แต่พอเอาเข้าจริงดันมัวแต่วิ่งไม่ได้สนใจว่ารถมาไม่มาเลยทำให้ในที่สุดก็เลยวิ่งไปถึง "วงเวียนใหญ่" พอวิ่งไปถึง "วงเวียนใหญ่" รู้สึกเหนื่อย เหนื่อมาก มากที่สุด จากนั้นก็ลองหาทางเดินไปตรง "วงเวี

Diary ประจำอะไรซักอย่าง

ที่บอกว่าประจำอะไรซักอย่างเพราะไม่อยากระบุเวลาที่แน่นอนว่าจะประจำกี่เดือนกี่วันหรือกี่สัปดาห์ เอาเป็นว่าตามอารมณ์ดีกว่า 555+ ตั้งแต่เริ่มทำงานที่บริษัทปัจจุบันรู้สึกอ้วนเอา อ้วนเอา จนรู้ตัวว่าไม่ไหวละ ช่วงนี้เลยปฏิบัติการตื่นแต่เช้าๆ ออกมาวิ่ง โดยออกมาวิ่งตามท้องถนนแถวบ้าน เพราะตอนอยู่ที่บ้านนอกนั้นทำบ่อย แต่ที่กทม. นี้รู้สึกไม่ไหวตอนตี 5 รถจะเยอะไปไหน (วะ) วิ่งไปสูดควันไป ช่างเป็นเช้าที่สดใสมาก แต่จะไปวิ่งตามสวนสาธารณะก้ไม่ไหวไกลเกิน ไปกลับลำบากเดี๋ยวไปทำงานไม่ทัน เลยต้องจำใจวิ่งริมถนนพร้อมฝุ่นควันจากรถท่อไอเสีย โดยวิ่งไปตามทางถนนเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุดเดิน โดยวันแรกวิ่งได้ระยะทางน้อยมากสั้นๆ คงเพราะอ้วน ทำให้เหนื่อยง่าย แต่วันหลังๆวิ่งได้เยอะขึ้น แต่ยังไม่เท่ากับตอนที่เป็นวัยรุ่นยังวิ่งได้ไกลกว่านั้นอีก หรือเป็นเพราะเราแก่ขึ้นวะ จากที่ลองทำมาสองอาทิตย์พบว่ามีผลดีขึ้นกับตัวเองหลายๆข้อ เช่น ตื่นแต่เช้าไปทำงานเร็วขึ้น (เช้ามากๆ มาก่อนเวลาเป้น ชม.) รู้สึกอึดอัดน้อยลง คล่องตัวขึ้น (แต่น้ำหนักยังไม่ลดนะ) ได้ตื่นเช้ามาใส่บาตรด้วย (แต่ได้ทำแค่วันเดียว) ข้อเสียก็มีนะ เช่น ไปทำงานง่วงนอนมาก เพรา

Ajax เรียก Cross Domain ไม่ได้

ไม่มีอะไรสำหรับ entry นี้ไม่มีอะไรนอกจากบอกตัวเองว่า Ajax ยิง request ข้าม Domain ไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อ request ข้ามเครื่องได้ต้องเรียกในเครื่องตัวเองเท่านั้น ดังนั้นกรณีจะใช้ Ajax ยิง Webservices เป็นไปไม่ได้ ต้องสร้าง servlet หรือ jsp ที่ call webservices และใช้ Ajax ไปเรียก servlet หรือ jsp นั้นๆแทน ref: http://www.simple-talk.com/dotnet/asp.net/calling-cross-domain-web-services-in-ajax/

HTML 5

ผมมีเหตุต้องศึกษา HTML 5 เพื่อนำมันมาใช้ใน project ใหม่ วันนี้เลยมาจด log สิ่งที่ได้เรียนรู้ไป (ทำความรู้จักกับ HTML 5 มากกว่า) ซึ่งอาจจะดูล้าหลังไปหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่คนอื่นเค้าพูดกันมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว แต่ผมเพิ่งรู้จักกับมัน เพราะก่อนหน้านั้นพยายามทำตัว "ยินดีที่ไม่รู้จัก" ไม่อยากจะยุ่งกับส่วน design ซึ่งมันเป็นหน้าที่ของ designer เราเขียน web application ก็เขียนไป แต่วันนี้เลี่ยงไม่ได้ ก็เลยเกิดมี content นี้เกิดขึ้น HTML 5 มันประมาณว่าเอา HTML + CSS + JS(javascript) APIs ดังรูปด้านบนนั้นแหละครับ มันดูเหมือนไม่ใช่สิ่งใหม่เลย เป็นสิ่งที่เรารู้ๆกันหมดแล้วอย่าง HTML, CSS หรือ javascript เพียงแต่ W3C นำเอาสิ่งที่เรารู้จักอยู่แล้วมาเพิ่มความสามารถลงไป แล้วมา pack ใหม่จนกลายเป็น HTML5 นั่นเอง เรามาดูกันดีกว่าแต่ละส่วนที่เพิ่มเข้ามามีอะไรบ้าง HTML Semantics (New tags, Link Relations, Microdata) มันถูกออกแบบมาใหม่ให้จัดวาง layout ได้ง่ายขึ้น ซึ่งแต่ก่อนเราใช้ <div> หรือไม่ก็ <span> (ตัวนี้ไม่ค่อยมีคนใช้หรอก) แล้วเราก็กำหนด id เอาว่ามันจะชื่ออะไร มันเป็

Tableless design

Tableless design เป็นการออกแบบ layout ของ HTML โดยไม่ใช้ table มาช่วยเลย โดยการที่ไม่ใช้ table ไม่ได้หมายความว่าจะตัด table ออกจาก html ไปเลย เพียงแต่ไม่ใช้ table ในการ design layout ส่วน table ก็ไปทำหน้าที่ในตอนแสดงข้อมูลออกมาในตารางเท่านั้น ถ้าไม่ใช้ตารางจะใช้อะไรแทนหละ คำตอบตือใช้ <div> และ <span> ช่วยในการวาง Layout แทน โดย <div> ใช้ในออกแบบเกี่ยวกับ layout ในส่วนที่ไม่มีตัวอักษร เช่นการแบ่งโครงสร้างต่างๆของ web เช่นส่วนของเมนู ส่วนของ Banner ส่วนของ content ส่วนของ footer เป็นต้น ส่วน <span> จะเอามาใช้ในการจัดโครงสร้างของข้อความต่างๆ ไปดูเหตุผลพวกนี้ที่ http://www.divland.com/blog/2007/03/23/div-or-span/ แล้วเราจะออกแบบยังไง เราก็ออกแบบโดยมองว่า 1 <div> แทนโครงสร้างในส่วนหนึ่ง อย่างเช่น <div id="banner">Banner</div> อาจจะยังไม่เห็นภาพรวมของมันเราลองดูกันเต็มๆว่าถ้าใช้ <div>เต็มๆแล้วจะเป็นยังไง

ข้อแตกต่างระหว่าง Font ในตระกลูต่างๆ Serif, Sans-serif และ Monospace

Sans-serif: เป็น Font ที่ไม่มีลวดลายตามรูปด้านบน ทื่อๆ แข็ง Serif: เป็น Font ที่มีองค์ประกอบมากกว่า Sans-serif อย่างรูปด้านบน Monospace: เป็น Font ที่มีความกว้างของแต่ละตัวอักษรเท่ากันแปะๆ ทำให้สามารถเอามาเปรียบเทียบจำนวนตัวอักษรได้ง่าย รายะเอียดเพิ่มเติม: http://www.w3schools.com/css/css_font.asp

TSwipe-Free Keyboard ภาษาไทยบน Android

TSwipe-Free เป็น Program Keyboard ภาษาไทยบน Android ตัวนึงเหมือนที่มันมีมาให้กับเครื่อง Android ใน Samsung โดยที่ Samsung Galaxy Spica นั้นจะมี Keyboard CN Thai มาให้ซึ่ง ok มันใช้ได้ดีค่อนข้างฉลาด แต่ Keyboard บน Samsung Galaxy S เป็น Keyboard ไทยที่ใช้แล้วค่อนข้างหงุดหงิดมากกกกกก โดย Samsung Galaxy S มี Keyboard ไทยที่ค่อนข้างจะแปลกๆ ซักหน่อย ลองดูในรูปด้านล่าง credit รูปนี้มาจาก Samsung-Galaxy-S-Review-by-Natz พอดีเครื่องผมไม่ได้ลง ROM ไทยเลยต้องไปขอยืมภาพมาจากคนอื่น ซึ่งจาก Keyboard จะเห็นได้ว่ามันแสดงทุกตัวอักษรเลย ทำให้บางปุ่มเราไม่รู้ว่าเรากำลังกดตัวอักษรอะไร อย่างเช่น บัดซบมากชีวิต เรากดปุ่มนี้จะได้เป็นตัวอักษรอะไร เราไม่รู้เลย โดยการพิมพ์คำสมมติเราจะพิมพ์คำว่า "ไป" เรากด keyboard คำว่า ซึ่งคำที่มีจะแสดงออกบนหน้าจอจะเป็น "ไผ" ซึ่งไม่ใช่แต่มันจะมีคำแนะนำมาว่าเราจะพิมพ์คำว่า "ไป" หรือเปล่าเราต้องเลือกอีกที ซึ่งต้องทำแบบนี้เป็นคำๆ ไป ไม่สนุกเลย ใช้ไปใช้มาปวดหัวมากกกกกกกกกกกกกก ที่เป็นเช่นนี้เพราะ Layout Keyboard เป็นแบบ QWERTY ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ท

ลอง Android Froyo 2.2 ใน Galaxy S และวิธีแก้ Lagfix ใน Froyo 2.2

วันนี้ผมได้ลองเอา Galaxy S ของผมลอง Android 2.2 ซึ่งผมได้ลองจากที่ คุณ tanit9999 จาก Droidsans ที่เขียนวิธีไว้ใน Link นี้ แล้วพบปัญหาเหมือนเดิมๆ ของ ROM ของ Android ที่เจอใน Samsung อยู่เป็นประจำคือมันช้า ช้าและกระตุก ถึงจะไม่มากแต่มันก็ทำให้รำคาญมาก บางคนถึงกับรับไม่ได้ต้องย้อนลงไป 2.1 ใหม่ แต่ตอนนี้ได้มีวิธีแก้แล้ว โดยวิธีแก้นั้นผมก็ได้มาจากแหล่งเดิมคือ Droidsans จากคุณ windy31 ตาม Link นี้ ซึ่งก็เขียนสรุปได้ดีไม่เยิ่นเย้อเหมือนใน Web ต่างประเทศ จากเดิมค่า Benmark ของ Galaxy S ที่ลง 2.2 ก่อนแก้ Lagfix นั้นคือ 900 กว่า ซึ่งจะเห็นว่ามันน้อยมากเมื่อเทียบกับ Froyo 2.2 ใน Nexus 1 (ประมาณ 1275) ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยเพราะ Galaxy S นั้น Spec ก็ดีกว่า แถมก่อนลง 2.2 ยังได้ Benmark ประมาณ 800 ซึ่งจะเห็นว่าพอลง 2.2 แล้วมันเพิ่มขึ้นมานิดเดียว แต่พอลง Lagfix แล้วขึ้นถึง 1700 - 1800 ตามเวลานั้นด้วยว่าเครื่องทำงานหนักไหม แถมบางคนได้ถึง 2000 - 2100 ด้วย เห็นแล้วอยากจะทำไหมครับ ทำตาม Link นี้ได้เลยผมการันตีเพราะผมทำได้แล้ว แต่ไม่รับประกันว่าเครื่องจะเสียประกันหรือเสียหายไหม เพราะว่ามันต้อง Roo

No LED Notification สำหรับ Galaxy S ที่อยากมี LED Notification

ในบางครั้งการที่เราเข้าห้องน้ำหรือไปทำธุระที่อื่น แล้ววางเจ้า Galaxy S ทิ้งไว้ อาจจะเป็นเพราะ Charge Battery หรืออื่นๆ ในระหว่างนั้นอาจจะมีใครโทรมาหรือมีคนส่ง SMS มาเข้าเครื่อง Galaxy S ของเรา แต่เราจะไม่มีทางรู้ได้ถ้าหากว่าไม่ได้เปิดเครื่องขึ้นมา แต่ถ้าเป็น Android รุ่นอื่นๆ เช่น Motorola Milestone เค้าจะมี ไฟแจ้งสถานะอยู่ (LED Notification) เป็นไฟกระพริบอยู่มุมขวาเพื่อแจ้งว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นให้เราเปิดเครื่องไป check อย่างรูปด้านล่าง แต่ว่า Galaxy S เจ้ากรรมไม่มี LED Notification อยู่ด้านหน้า ดังนั้นก็เลยมีคนเขียน Application เพื่อใช้หน้าจอ Super Amoled อันสุดยอดให้กลายเป็น Notification ให้เราโดยเจ้า App ตัวนี้ชื่อ NoLED (Search หาใน market ด้วยชื่อนี้) โดยมันจะมีการแจ้งเตือนดังนี้ สีน้ำเงิน - Miss call สีเขียว - SMS สีเหลือง - Gtalk สีม่วง - Gmail (สีซะหวานแหว่วเลย) สีแดง - อื่นๆ (อย่างเช่น Notification ของพวก twitter, facebook, msn เป็นต้น) อย่างเช่นตัวอย่างจากน้อง Galaxy S ผม หรือลองไปดู Video จาก Youtube กันว่าเป็นยังไง ที่มา XDA-Forums update มัน show ได้หลายๆสถานะพร้อมกัน

Root/UnRoot Galaxy S ด้วย Click เดียว

คุณเคยมั้ย เวลาที่คุณจะ Root Android ซักเครื่องนึง คุณต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับการเข้าไปพิมพ์คำสั่งใน ADB Shell กลัวจะพิมพ์ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง (พิมพ์ถูกไม่เป็นไรพิมพ์ผิดอาจมีเรื่อง) หรือตอนนี้อาจจะมีมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น โดยการ Root ผ่าน update.zip แต่ก็ต้องไป copy ลงไปใน SD card (ใน Galaxy S ก็ Intenal Memory Card) จากนั้นก็กดสูตรเพื่อเข้า Recovery Mode วุ่นวายจัง แล้วเจ้าตัวนี้หละจะช่วยอะไร ไม่ต้องเข้าไปปวดหัวกับ ADB shell ไม่ต้อง copy update.zip ลงไปใน SD card ไม่ต้องกดสูตรเพื่อเข้าไป Recovery Mode เพื่อเข้าไป Root นั่นแหละสิ่งที่ด้านบน list มาให้มันช่วยแค่นั้นแหละยังไม่ถึงกับ Root เพียงแต่มัน Copy update.zip ลงไปในเครื่องเราให้จากนั้นมันจะ Reboot เพื่อเข้า Recovery Mode ให้เพื่อให้เรากด update.zip เอง (เพื่ออะไรเนี่ยน่าจะ Root ไปเลย) ยอมรับว่าพลาดเขียน content ก่อนจะลองจริง พอลองจริงแล้วรู้สึกว่าเอ่อ ใช้วิธีเดิมเหอะง่ายกว่าเยอะ แต่หลวมตัวเขียนมาแล้ว ขอ up ขึ้น blog แล้วกันเป็นทางเลือกสำหรับบางคนที่อาจจะชอบวิธีนี้ เอาละบ่นมาเยอะแล้วมาดูแล้วกันว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง สิ่งที่ต้องมีในเครื่