Skip to main content

Diary ประจำอะไรซักอย่าง 20/09/2010


ต่อจากตอนที่แล้ว วันนี้ลองเส้นทางวิ่งใหม่ๆดู รู้สึกวิ่งตามถนนมันไม่ work เท่าไร สูดควันไปวิ่งไปไม่น่ารื่นรมณ์เลย คราวนี้เลยกะว่าจะลองเปลี่ยนไปเป็นที่ที่คนชอบมาวิ่งกัน โดยที่ไม่ไกลจากบ้านมาก ตอนแรกได้ยินมาจากแม่ว่าในซอยเรามี "สน.ท่าพระ" อยู่รุ้สึกว่าตรงนั้นจะมีคนไปวิ่งเยอะนะ อีกที่นึงที่นั่งรถผ่านไปกลับระหว่างบ้านกับที่ทำงานประจำนั่นคือ "วงเวียนใหญ่" เห็นคนมาวิ่งทุกวัน ตอนกลางคืนสองสามทุ่มแล้วก้ยังมีคนมาวิ่งอยู่

ในที่สุดก็ตัดสินใจมาที่ "วงเวียนใหญ่" ส่วน "สน.ท่าพระ" ไม่อยากไปเพราะรู้สึกตอนเช้าๆมันเปลี่ยวแล้วจะมีคนวิ่งจรึงหรือเปล่า ดังนั้นจึงเลือกวงเวียนใหญ่

ตอนแรกที่วางแผนไว้กะว่าจะนั่งรถเมล์หรือรถกระป๋องไป "วงเวียนใหญ่" แต่ตอนเช้ารอรถได้ห้านาทีรู้สึกว่าแม่งทำไมไม่มาซักทีวะ กลัวว่าจะเสียเวลาเลยวิ่งไปพลางถ้ารถมากะว่าค่อยโบกเอา แต่พอเอาเข้าจริงดันมัวแต่วิ่งไม่ได้สนใจว่ารถมาไม่มาเลยทำให้ในที่สุดก็เลยวิ่งไปถึง "วงเวียนใหญ่"

พอวิ่งไปถึง "วงเวียนใหญ่" รู้สึกเหนื่อย เหนื่อมาก มากที่สุด จากนั้นก็ลองหาทางเดินไปตรง "วงเวียนใหญ่" ดู ซึ่งตอนนี้ไม่มีสพานลอยคนข้ามแล้ว แต่มีทางใต้ดินที่เดินลอดถนนไปวงเวียนใหญ่แทน ซึ่งดูภายนอกก็ดูสวย ok อยู่ แต่ด้านในนี่ เอ่อ..... (ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) ตอนที่เข้ามาตอนแรกยังมืดอยู่ก็มีไฟเปิด แต่บรรยากาศวังเวงมาก น่ากลัวอยู่ ประมาณว่าใครอยู่ๆโผล่เกาะด้านหลังนี่พร้อมตกใจแต๋วแตกได้เลย จากนั้นก็วิ่งต่อที่ "วงเวียนใหญ่"

จากการสังเกตคนที่มาวิ่งนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ชายทั้งนั้น ตอนนั้นตีห้าครึ่งไม่มีสาวๆ มาวิ่งเลยมีแต่อาม๋ามาเตรียมตัวที่จะรำ "ไทเก๊ก" ตอนที่ผมสังเกตผมเดินอยู่ (เพราะเหนื่อย) จากนั้นผมก็วิ่งต่อ ปรากฎว่าวิ่งไปได้แค่รอบเดียวก็ไม่ไหวแล้วเหนื่อยมาก แล้วก็บ่นกับตัวเอง "สงสัยจะแก่แล้วหรือไม่ก็อ้วนมากเกิน" จากนั้นก็เดิน warm down ซักจนกระทั่ง 6 โมงเช้า (เดาเอาสังเกตจากความสว่าง) ก็สังเกตุว่าเริ่มมีสาวๆและเด็กๆมาวิ่งแล้ว จากนั้นผมก็เดินกลับไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อที่จะขึ้นรถกลับบ้าน (เดินต่อไม่ไหวแล้ว) ซึ่งแน่นอนต้องเดินลอดทางใต้ดินอีกรอบ คราวนี้ไฟมันปิด มืดมาก เดินไปพร้อมกับใจตุ้มๆต่อมๆ ความรู้สึกเหมือนในฉากเจอผีของเรื่อง "The eyes" ที่เป็นฉากในรถไฟฟ้าใต้ดินเลย ผมไม่คิดอะไรรีบวิ่งทางลอดไปโผล่อีกฝั่งนึง จากนั้นเดินมาที่ป้ายรถเมล์

ตรงป้ายรถเมล์ มี 7/11 อยู่ด้วยผมเลยแวะซื้อ Sponser มาขวดนึงมากิน แล้วพบว่าหลังจากออกกำลังกายเสร็จแล้วดื่ม Sponsor มันเป็นความรู้สึกที่ "ซาโตริ" จริงๆ ทำให้รุ้สึกสดชื่นขึ้นมาทันใด จากนั้นก้นั่งรถกลับบ้าน

หลังจากนั้นลองมาตรวจสอบระยะทางที่เราวิ่งไปวงเวียนใหญ่ดูปรากฎว่าเกือบ 3 km นี่สินะเป็นสาเหตที่ทำให้เหนื่อยมากเมื่อถึง "วงเวียนใหญ่" หลังจากออกกำลังกายเสร็จวันนั้นมาทำงานด้วยความอ่อนเพลียมากมาย กินกาแฟกระป๋องเหมือนไม่ช่วยอะไร ล้างหน้าก็แล้ว ตกลงต้องใช้หมากฝรั่งช่วย ต้องเคี้ยวตลอดจะได้ไม่หลับ ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยมาก หวังว่าร่างกายจะชินกับการวิ่งอย่างงี้เร็วๆ

หมายเหตุ "ซาโตริ" คืออะไรลองไปอ่านตาม link นี้ http://tulip.bu.ac.th/~kanong.p/zen.htm

Comments

Popular posts from this blog

ลองเล่นและเรียนรู้พื้นฐานขั้นต้นของ Spring Framework

** สำหรับใครที่ไม่เคยเรียนรู้ในด้านของ Java EE หรือ J2EE อาจจะมึนงงกับศัพท์หน่อยครับ ทำไมต้อง Spring Spring เป็น framework ที่นิยมมากในการนำไปสร้างระบบในระดับ enterprise ในเริ่มแรกที่ Spring เกิดมา มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะมาแทนที่มาตรฐานของ Java อย่าง J2EE (Java 2 Enterprise Edition) ที่มันทั้งหน่วงทั้งอืดและยุ่งยาก โดยเฉพาะในส่วนของ EJB (Enterprise Java Bean) ที่ถือว่าเป็นฝันร้ายของนักพัฒนา ทำให้กูรูสาย Java ในช่วงนั้นถึงกับแนะนำว่า ถ้าจำเป็นที่ต้องพัฒนาระบบด้วย J2EE จงอย่าใช้ EJB ถึงขั้นถึงกับมีหนังสือแนะแนวทางการพัฒนาระบบ J2EE โดยไม่ใช้ EJB อย่างไรก็ตามทาง Sun ผู้เป็นเจ้าของ Java ในสมัยนั้น ถึงกับต้องมาล้างระบบ J2EE ใหม่ในปี 2006 จัดการใน EJB ให้ใช้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการเปลี่ยนชื่อจาก J2EE เป็น Java EE (Java Enterprise Edition) เพื่อลบภาพอันเลวร้ายของเดิมให้หมด และได้มีการนำฟีเจอร์เด็ดๆ ของ open source framework หลายๆ ตัว อย่างเช่นแกนหลักของ Spring อย่าง IoC (Inversion of Control) หรือ OR Mapping (Object Relational Mapping) ที่เป็นที่นิยมอย่าง Hibernate แต่ก็ไ

ลองเล่น Lambda Expression ฟีเจอร์เด่นใน Java 8

ประวัติความเป็นมาของ Lambda expression Lambda expression ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ในวงการ ภาษาโปรแกรม ( Programming Language ) เพราะ lambda มันเป็นแกนหลักของ การเขียนโปรแกรมเชิงฟังก์ชัน ( Functional Programming ) ซึ่งมีอายุมานานมากแล้ว แต่ Java เพิ่งนำเอาคุณสมบัตินี้เอามาใส่ลงในเวอร์ชัน 8 หากจะกล่าวถึงที่มาของ lambda คงต้องไปดูที่ถึงที่มาของ lambda calculus ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1930 โดยนักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกัน  Alonzo Church  เพื่อใช้ในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่มีความซับซ้อน ในบางครั้งสมการทางคณิตศาสตร์ที่ยาวไปอาจจะทำให้เกิดความซับซ้อนโดยใช่เหตุ lambda calculus จะทำการยุบบางส่วนของสมการนั้นออกมาเป็นฟังก์ชันย่อยๆ เพื่อทำให้สมการนั้นเข้าใจง่ายขึ้น ต่อมาหลักการของ lambda calculus ได้ถูกนำไปใช้ใน Turing Machine ซึ่งเป็นแบบจำลองในอุดมคติของ Alan Turing  ที่ต่อมากลายเป็นต้นแบบที่ถูกนำไปใช้ในการผลิต  Von Neumann Machine  ซึ่ง Von Neumann Machine ตัวนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกในเวลาต่อมา ท้ายที่สุดแนวคิดของ lambda calculus ก็ถูกนำมาแปลงเป็นภาษาโปรแกรมท

ลองเล่น SonarQube คลื่นโซนาร์ช่วยตรวจสอบคุณภาพของ code

SonarQube  คือเครื่องมือช่วยตรวจสอบคุณภาพของ source code ช่วยหาข้อบกพร่องใน source code ไม่ว่าจะเป็น Bug ที่น่าจะเกิดขึ้น ช่องโหว่ทางด้านความปลอดภัยหรือกลิ่นไม่ดีใน source code ของเรา (Code Smell) และ ช่วยตรวจสอบเราเขียน code ทดสอบครอบคลุมหรือดีแล้วยังยัง (code coverage) Code Smell ไม่ได้ใช้วัดว่า source code นี้สามารถทำงานได้ถูกต้อง มี bug หรือช่องโหว่หรือไม่ แต่ Code Smell ใช้วัดถึงคุณภาพของการออกแบบ เพื่อตรวจสอบว่า source code ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะสามารถต่อเติม แก้ไขหรือทดสอบได้ง่ายหรือไม่ โดยหลักเกณฑ์ที่นำมาใช้วัดในส่วนของ Code Smell คือ ความซ้ำซ้อนของ code มี code แบบเดียวกันไปซ้ำกันในไฟล์ไหนบ้าง ตรวจสอบเงื่อนไขใน if ให้ ว่าเงื่อนไขตรงนี้มันมีโอกาสเป็นไปได้ไหม เพราะบางทีเงื่อนไขที่เราเขียนขึ้นมาเพื่อดักไว้ในบางครั้งมันแทบจะไม่มีโอกาสที่เวลามันทำงานแล้วเข้าเงื่อนไขในส่วนนั้น เป็นต้น สามารถไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.somkiat.cc/code-smell-internal-class/ นอกจาก SonarQube จะสามารถบอกถึงคุณภาพของ source code เราได้แล้ว ยังสามารถใช้ในการแจกแจงงานให