Skip to main content

เรื่องวุ่นวายระหว่าง eBay และข้าพเจ้า

พอดีผมสมัคร eBay ไปเพื่อต้องการที่จะซื้อแบตเสริมให้กับมือถือ เห็นว่าราคามันถูกดี ถูกจนมันน่าสงสัยว่าใช้ๆ ไปแบตจะระเบิดหรือเปล่า เพราะราคาแค่ 300 กว่าบาทได้แบตสามก้อน + wall charge อีกหนึ่งอัน เป็นใครก็ต้องสงสัยว่ามันจะดีหรือเปล่า

พอดีเห็นคนในบอร์ด Galaxy Lover ซื้อมาใช้ เอามาเป็นแบตสำรอง แบบว่าจำเป็นจริงๆ ค่อยใช้ คิดว่าคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร อีกอย่างราคาแค่ 300 มันถูกมาก เลยตัดสินใจสมัคร eBay แล้วกดซื้อมา

(ภาพจาก Galaxy Nexus Club)

ตอนสมัคร eBay ก็ link กับ paypal เรียบร้อยแล้ว โดยก่อนหน้านี้เคยสมัคร paypal ไว้นานแล้ว และทำการ verify paypal ไว้แล้วด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ == เลย inactive บัตรเครดิตไปก่อน

มาคราวนี้ก็ link บัตรเครดิตกับ paypal อีกรอบ คราวนี้มันให้ verify ใหม่ โดยการ verify ที่ว่า มันเป็นการตรวจสอบว่าบัตรเครดิตของเราใช้ได้จริงหรือเปล่า paypal จะทดสอบหักเงินจากบัตรเครดิตของเราไป 70 บาท แล้วจะคืนเป็น credit ใน paypal ให้เมื่อ verify เสร็จแล้ว (ไม่ยอมคืนเครดิตให้ตรงๆ) ซึ่งการเบิกเงินของ paypal ถ้าต่ำกว่า 5000 มันจะมีค่าธรรมเนียม ==

การ verify ใหม่ในครั้งนี้จะฟรีถ้าเราหา code เก่าที่ paypal เคยส่งมาให้เรา verify ครั้งที่แล้วเจอ ซึ่งผมหาไม่เจอ และคิดว่ามันคงไม่จำเป็นต้อง verify มั้ง เพราะตอนสั่งซื้อสินค้าเดี๋ยวมันก็ตัดตังได้เอง ไม่อยากจะเสียเงิน 70 บาทแบบไม่ได้คืนอีก

จากนั้นก็ไปซื้อของใน eBay หลังจากนั้นวันนึงทาง eBay ส่ง mail แจ้งว่าระงับการสั่งซื้อของเรา แต่พอลองไปดูใน paypal พบว่ามันตัดเงินไปแล้ว T-T แต่ยังดีที่พ่อค้าเค้าบอกว่าได้เงินจากเราแล้วและส่งของให้แล้ว

นอกจากผมจะถูก eBay ระงับการสั่งซื้อไปแล้ว ยังพบว่า ID ผมโดนระงับด้วย สาเหตน่าจะเกิดมาจากการที่ผมไม่ได้ verify บัตรเครดิตกับ paypal และเมื่อ eBay ไปตรวจสอบสถานะ paypal ของผม พบว่ายังไม่ได้ verify ทำให้การสั่งซื้อของผมเป็นโมฆะ นอกจากนี้ยังระงับ ID ผมด้วย ==

ซึ่งในกฎของ eBay เค้าจะระงับ ID ที่ไม่มีช่องทางการจ่ายเงิน ซึ่งของผมมีแต่ว่ามันยังไม่ได้ verify ถึงกระนั้น eBay ก็ตัดเงินผมไปแล้ว T-T ซึ่งผมก็พยายามหาทางติดต่อ eBay แต่ปรากฎว่า eBay ไม่มีช่องทางให้ติดต่อผ่าน email ต้องโทรไปติดต่อเท่านั้น == (แล้วจะไปพูดภาษาอังกฤษอะไรกับเค้ารู้เรื่อง)

ทีนี้ก็เลยลองไปค้นหาใน Internet ดูพบว่ามันมีเว็บ eBay ประเทศไทยนี่หว่า (http://export.ebay.co.th/) ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีไว้สำหรับคนที่จะค้าขายของใน eBay (ไม่ใช่สำหรับคนที่จะซื้อของ) ซึ่งตอนนั้นผมไม่ทันได้เอะใจ เห็นว่ามันมีเบอร์ติดต่อที่ประเทศไทยโทรฟรี (001-800-441- 8105) และเห็นคนใน internet เค้าบอกว่า Call Center พูดภาษาไทย เลยลองโทรไปดู

Call Center รับเร็วมาก ไม่ต้องถือสายรอเหมือน Call Center ในไทย และพบว่าเค้าพูดภาษาไทยจริงๆ แต่คนรับไม่ใช่คนไทย คาดว่าน่าจะเป็นคนจีนที่พูดไทยเป็น เพราะเวลาที่ Call Center พูดบางประโยคมันฟังแล้วงงๆ เรียบเรียงประโยคแปลกๆ

แต่ขอชม Call Center มีความอดทนดี เพราะตอนจะบอก username เค้าเล่นเอาซะเหนื่อยกว่าจะบอกครบทุกตัว จากนั้นเค้าก็ตรวจสอบข้อมูลให้ เค้าบอกว่า ID เราเค้าปลดแบนให้ไม่ได้ ต้องโทรไปติดต่อที่สหรัฐเท่านั้น และต้องติดต่อเป็นภาษาอังกฤษ ==

เอาเป็นว่าช่างเหอะ ของจะได้ไม่ได้ Let it be (ช่างแม่งมัน) ของราคาแค่ 300 กว่าๆ แต่ถ้าโทรไปสหรัฐ คิดยังไงก็ไม่มีทางคุ้มแน่ๆ ตอนนี้ก็รอลุ้นว่าของที่พ่อค้าบอกว่าส่งแล้วจะถึงมือเรามั้ย ซึ่งคนใน Galaxy Lovers บอกว่าใช้เวลา 7 วัน หวังว่าจะได้รับของ สาธุ

Comments

Popular posts from this blog

ลองเล่นและเรียนรู้พื้นฐานขั้นต้นของ Spring Framework

** สำหรับใครที่ไม่เคยเรียนรู้ในด้านของ Java EE หรือ J2EE อาจจะมึนงงกับศัพท์หน่อยครับ ทำไมต้อง Spring Spring เป็น framework ที่นิยมมากในการนำไปสร้างระบบในระดับ enterprise ในเริ่มแรกที่ Spring เกิดมา มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะมาแทนที่มาตรฐานของ Java อย่าง J2EE (Java 2 Enterprise Edition) ที่มันทั้งหน่วงทั้งอืดและยุ่งยาก โดยเฉพาะในส่วนของ EJB (Enterprise Java Bean) ที่ถือว่าเป็นฝันร้ายของนักพัฒนา ทำให้กูรูสาย Java ในช่วงนั้นถึงกับแนะนำว่า ถ้าจำเป็นที่ต้องพัฒนาระบบด้วย J2EE จงอย่าใช้ EJB ถึงขั้นถึงกับมีหนังสือแนะแนวทางการพัฒนาระบบ J2EE โดยไม่ใช้ EJB อย่างไรก็ตามทาง Sun ผู้เป็นเจ้าของ Java ในสมัยนั้น ถึงกับต้องมาล้างระบบ J2EE ใหม่ในปี 2006 จัดการใน EJB ให้ใช้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการเปลี่ยนชื่อจาก J2EE เป็น Java EE (Java Enterprise Edition) เพื่อลบภาพอันเลวร้ายของเดิมให้หมด และได้มีการนำฟีเจอร์เด็ดๆ ของ open source framework หลายๆ ตัว อย่างเช่นแกนหลักของ Spring อย่าง IoC (Inversion of Control) หรือ OR Mapping (Object Relational Mapping) ที่เป็นที่นิยมอย่าง Hibernate แต่ก็ไ...

ลองเล่น SonarQube คลื่นโซนาร์ช่วยตรวจสอบคุณภาพของ code

SonarQube  คือเครื่องมือช่วยตรวจสอบคุณภาพของ source code ช่วยหาข้อบกพร่องใน source code ไม่ว่าจะเป็น Bug ที่น่าจะเกิดขึ้น ช่องโหว่ทางด้านความปลอดภัยหรือกลิ่นไม่ดีใน source code ของเรา (Code Smell) และ ช่วยตรวจสอบเราเขียน code ทดสอบครอบคลุมหรือดีแล้วยังยัง (code coverage) Code Smell ไม่ได้ใช้วัดว่า source code นี้สามารถทำงานได้ถูกต้อง มี bug หรือช่องโหว่หรือไม่ แต่ Code Smell ใช้วัดถึงคุณภาพของการออกแบบ เพื่อตรวจสอบว่า source code ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะสามารถต่อเติม แก้ไขหรือทดสอบได้ง่ายหรือไม่ โดยหลักเกณฑ์ที่นำมาใช้วัดในส่วนของ Code Smell คือ ความซ้ำซ้อนของ code มี code แบบเดียวกันไปซ้ำกันในไฟล์ไหนบ้าง ตรวจสอบเงื่อนไขใน if ให้ ว่าเงื่อนไขตรงนี้มันมีโอกาสเป็นไปได้ไหม เพราะบางทีเงื่อนไขที่เราเขียนขึ้นมาเพื่อดักไว้ในบางครั้งมันแทบจะไม่มีโอกาสที่เวลามันทำงานแล้วเข้าเงื่อนไขในส่วนนั้น เป็นต้น สามารถไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.somkiat.cc/code-smell-internal-class/ นอกจาก SonarQube จะสามารถบอกถึงคุณภาพของ source code เราได้แล้ว ยังสามารถใช้ในการแจกแจงง...

Inversion of Control และ Dependency Injection

Inversion of Control (IoC) คืออะไร IoC เป็นทฤษฏีที่ว่าด้วย การลดความผูกมัด (dependency) กันในระหว่าง module เพื่อให้ application ของเราแก้ไข (maintain) ต่อเติม (extensible) หรือทดสอบ (test) ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเอาจริงๆ IoC เป็นอะไรที่ทำให้เราสับสนและงุนงงมากๆ ว่ามันคืออะไร หลายๆ คนจึงยกให้ว่า IoC คือ Dependency Injection (DI) ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ถูกซะทีเดียว  Dependency คืออะไร Dependency คือการผูกมัดที่เกิดขึ้นในระบบ เมื่อ module นึงมีการเรียกใช้อีก module นึงด้วยการอ้างอิง (reference) ตรงๆ แล้วอะไรที่เรียกว่าการ อ้างอิง (Reference) แบบตรงๆ   อย่างภาพ diagram ด้านบน class LogEngine มีการเรียกใช้ ConsoleLog โดยตรง ซึ่งมองผ่าน diagram อาจจะไม่เห็นภาพลองดู code กัน public class ConsoleLog { public void openLog(){ //do something to open log } public void log(String message){ //do something to log } public void closeLog(){ //do something to close log } } public class LogEngine { private ConsoleLog log; public LogEng...