Skip to main content

Huawei เปิดตัว Ascend Mate และ Ascend D2 อย่างเป็นทางการแล้ว



หลังจากที่เราได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับมือถือของ Huawei ที่หน้าจอมีความละเอียดระดับ Full HD (ข่าวเก่า) เมื่อคืนนี้ในงาน CES 2013 ที่ Las Vegas ทาง Huawei ได้ฤกษ์ได้เปิดตัว Ascend Mate และ Ascend D2 อย่างเป็นทางการ

Ascend D2 เป็นมือถือที่มีหน้าจอขนาด 5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD มีความหนาแน่นของพิกเซลอยู่ที่ 433 ppi มาพร้อมกับกล้อง 13 ล้านพิกเซล และ แบตเตอรรี่ 3000 mAh นอกจากนี้ยังมีระบบจัดการพลังงานอย่าง Quick Power Control (QPC) และ Automated Discontinuous Reception (ADRX) ที่ทาง Huawei อ้างว่าจะช่วยยืดอายุเวลาการใช้งานได้นานขึ้น สามารถ stand by บนเครือข่าย WCDMA ได้นานถึง 6 วัน ซึ่งมีรายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้
  • หน่วยประมวลผล (ของ Huawei เอง) K3V2 quad-core ความถี่ 1.5 GHz  
  • RAM 2 GB
  • กล้อง BSI 13 ล้านพิกเซล
  • หน้าจอขนาด 5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD มีความหนาแน่นของพิกเซลอยู่ที่ 433 ppi
  • หน้าจอเป็นแบบ IPS+ Super Retina LCD display
  • มาพร้อมกับ Android 4.1 และ Emotion UI
  • ระบบเสียง Dolby® surround
  • หนัก 170 กรัม หนา 9.9 มิลลิเมตร
  • กันฝุ่น กันน้ำ ตามมาตรฐาน IPX 5/4

โดย Ascend D2 มีกำหนดวางขายในจีนและยุโรปในไตรมาส 1 ปีนี้ มีสองสีให้เลือกระหว่าง สีขาว และ สีคริสตัลฟ้า นอกจากนี้ Huawei ยังมีแผนทำ Ascend D2 เวอร์ชั่น 4.7 นิ้วด้วย




Ascend Mate เป็นมือถือที่มีขนาดเทียบเคียงแท็บแล็ต เพราะหน้าจอมีขนาดใหญ่ถึง 6.1 นิ้ว แต่กลับมีความละเอียดเพียงแค่ 720p (720x1280) แต่หน้าจอเป็นแบบ Magic Touch สามารถสัมผัสหน้าจอได้แม้สวมถุงมืออยู่ ส่วน CPU ไม่ได้บอกมา แต่จากวิดีโอพรีวิวพบว่ามันมีสเปกที่ใกล้เคียงกับ Ascend D2 คาดว่าน่าจะใช้ K3V2 เหมือนกัน มีระบบช่วยประหยัดพลังงานเหมือน Ascend D2 และให้ความจุของแบตเตอร์รีืสูงถึง 4050 mAh และความสามารถพิเศษของมัน ทาง Huawei ได้ปรับแต่งในส่วนของ WiFi ให้สามารถรับสัญญาณได้ดีขึ้นจากอุปกรณ์ Android ทั่วๆ ไปถึง 20-30% ส่วนรายละเอียดอื่นๆ มีดังนี้

  • หน่วยประมวลผลเป็นแบบ Hi-Silicon quad-core 1.5 GHz  
  • RAM 2 GB
  • หน่วยความจำภายใน 32 GB
  • หน้าจอ 6.1 นิ้ว HD IPS+ ความละเอียด 720p
  • กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซลพร้อม AF
  • กล้องหน้าความละเอียดแบบ HD 1 ล้านพิกเซล
  • ระบบเสียง Dolby®
  • แบตเตอร์รี่ 4050 mAh
  • หนา 6.5 มิลลิเมตร
  • Android 4.1.2


โดย Ascend Mate มีกำหนดวางขายในจีนเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ มีสองสีให้เลือกระหว่าง สีขาว และ สีคริสตัลฟ้า

ที่มา Android Central

Comments

Popular posts from this blog

ลองเล่นและเรียนรู้พื้นฐานขั้นต้นของ Spring Framework

** สำหรับใครที่ไม่เคยเรียนรู้ในด้านของ Java EE หรือ J2EE อาจจะมึนงงกับศัพท์หน่อยครับ ทำไมต้อง Spring Spring เป็น framework ที่นิยมมากในการนำไปสร้างระบบในระดับ enterprise ในเริ่มแรกที่ Spring เกิดมา มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะมาแทนที่มาตรฐานของ Java อย่าง J2EE (Java 2 Enterprise Edition) ที่มันทั้งหน่วงทั้งอืดและยุ่งยาก โดยเฉพาะในส่วนของ EJB (Enterprise Java Bean) ที่ถือว่าเป็นฝันร้ายของนักพัฒนา ทำให้กูรูสาย Java ในช่วงนั้นถึงกับแนะนำว่า ถ้าจำเป็นที่ต้องพัฒนาระบบด้วย J2EE จงอย่าใช้ EJB ถึงขั้นถึงกับมีหนังสือแนะแนวทางการพัฒนาระบบ J2EE โดยไม่ใช้ EJB อย่างไรก็ตามทาง Sun ผู้เป็นเจ้าของ Java ในสมัยนั้น ถึงกับต้องมาล้างระบบ J2EE ใหม่ในปี 2006 จัดการใน EJB ให้ใช้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการเปลี่ยนชื่อจาก J2EE เป็น Java EE (Java Enterprise Edition) เพื่อลบภาพอันเลวร้ายของเดิมให้หมด และได้มีการนำฟีเจอร์เด็ดๆ ของ open source framework หลายๆ ตัว อย่างเช่นแกนหลักของ Spring อย่าง IoC (Inversion of Control) หรือ OR Mapping (Object Relational Mapping) ที่เป็นที่นิยมอย่าง Hibernate แต่ก็ไ

Inversion of Control และ Dependency Injection

Inversion of Control (IoC) คืออะไร IoC เป็นทฤษฏีที่ว่าด้วย การลดความผูกมัด (dependency) กันในระหว่าง module เพื่อให้ application ของเราแก้ไข (maintain) ต่อเติม (extensible) หรือทดสอบ (test) ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเอาจริงๆ IoC เป็นอะไรที่ทำให้เราสับสนและงุนงงมากๆ ว่ามันคืออะไร หลายๆ คนจึงยกให้ว่า IoC คือ Dependency Injection (DI) ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ถูกซะทีเดียว  Dependency คืออะไร Dependency คือการผูกมัดที่เกิดขึ้นในระบบ เมื่อ module นึงมีการเรียกใช้อีก module นึงด้วยการอ้างอิง (reference) ตรงๆ แล้วอะไรที่เรียกว่าการ อ้างอิง (Reference) แบบตรงๆ   อย่างภาพ diagram ด้านบน class LogEngine มีการเรียกใช้ ConsoleLog โดยตรง ซึ่งมองผ่าน diagram อาจจะไม่เห็นภาพลองดู code กัน public class ConsoleLog { public void openLog(){ //do something to open log } public void log(String message){ //do something to log } public void closeLog(){ //do something to close log } } public class LogEngine { private ConsoleLog log; public LogEngine(){

ลองเล่น Lambda Expression ฟีเจอร์เด่นใน Java 8

ประวัติความเป็นมาของ Lambda expression Lambda expression ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ในวงการ ภาษาโปรแกรม ( Programming Language ) เพราะ lambda มันเป็นแกนหลักของ การเขียนโปรแกรมเชิงฟังก์ชัน ( Functional Programming ) ซึ่งมีอายุมานานมากแล้ว แต่ Java เพิ่งนำเอาคุณสมบัตินี้เอามาใส่ลงในเวอร์ชัน 8 หากจะกล่าวถึงที่มาของ lambda คงต้องไปดูที่ถึงที่มาของ lambda calculus ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1930 โดยนักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกัน  Alonzo Church  เพื่อใช้ในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่มีความซับซ้อน ในบางครั้งสมการทางคณิตศาสตร์ที่ยาวไปอาจจะทำให้เกิดความซับซ้อนโดยใช่เหตุ lambda calculus จะทำการยุบบางส่วนของสมการนั้นออกมาเป็นฟังก์ชันย่อยๆ เพื่อทำให้สมการนั้นเข้าใจง่ายขึ้น ต่อมาหลักการของ lambda calculus ได้ถูกนำไปใช้ใน Turing Machine ซึ่งเป็นแบบจำลองในอุดมคติของ Alan Turing  ที่ต่อมากลายเป็นต้นแบบที่ถูกนำไปใช้ในการผลิต  Von Neumann Machine  ซึ่ง Von Neumann Machine ตัวนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกในเวลาต่อมา ท้ายที่สุดแนวคิดของ lambda calculus ก็ถูกนำมาแปลงเป็นภาษาโปรแกรมท